วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

ศรีธนญชัย สุขภาพดี มีชัยไปกว่าครึ่ง


นั่งหน้าคอมนานๆ ′เสี่ยง′ หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

ปัจจุบันคนไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นที่จะเป็นโรคหมอนรองกระดูก โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศและคนที่ต้องนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ทุกวัน วันละนานๆ จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท เนื่องจากระหว่างใช้คอมพิวเตอร์จะมีการเกร็งและใช้งานบริเวณส่วนหลัง อาจจะมีการใช้อย่างไม่ถูกต้องและเคลื่อนไหวไม่เหมาะสม เมื่อทับถมเป็นเวลานานจะส่งผลให้เกิดกระดูกเสื่อม ทำให้เกิดโรคหมอนรองกระดูก
นพ.ธีรศักดิ์ พื้นงาม แพทย์หัวหน้าศูนย์สมองและระบบประสาท พร้อมทีมแพทย์ Mini Spine โรงพยาบาลพญาไท 1 ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาทไว้ว่า โรคนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ โรคหมอนรองกระดูกส่วนเอวกดทับเส้นประสาท จะมีอาการปวดร้าวจากเอวลงไปที่ขา ขาชาและอ่อนแรงขาข้างใดข้างหนึ่ง และหมอนรองกระดูกส่วนคอกดทับเส้นประสาท จะปวดต้นคอร้าวไปที่สะบักข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจปวดถึงแขนหรือมือ มืออ่อนแรงจับสิ่งของไม่ถนัด มือและแขนมีอาการชา
"หากพบว่ามีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์ และรีบรักษาก่อนอาการลุกลามรุนแรง" นพ.ธีรศักดิ์ย้ำ
อย่างไรก็ตาม นพ.ธีรศักดิ์ระบุว่า โรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท เมื่อรักษาแล้วก็มีโอกาสเป็นซ้ำได้อีก หากไม่ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรื่องปวดหลัง คือ "การป้องกันไม่ให้เกิด"
"พยายามจัดท่าทางการทำงานหรือกิจวัตรประจำวันให้ถูกต้อง ให้แนวกระดูกสันหลังอยู่ในแนวตรงเสมอ และหลีกเลี่ยงการทำอะไรที่ใช้กล้ามเนื้อหลังมากๆ รวมถึงหมั่นบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรงไว้เสมอ เพราะเป็นกล้ามเนื้อที่คอยตรึงแนวกระดูกสันหลังไม่ให้เคลื่อนไหวมากเกินไป" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทิ้งท้าย ป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ ก่อนสายเกินแก้


5 โรคฮิต คร่าชีวิตคนไทย

Infographic นำเสนอข้อมูลดีๆ จากแฟนเพจเฟซบุ๊กศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ เกี่ยวกับ โรคที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด 5 โรค 

ข้อมูลเกี่ยวกับ 5 โรคร้ายที่พรากชีวิตคนไทยมากที่สุด เพื่อเป็นแนวทางในการระวังตัวและป้องกันตนจากโรคร้าย รวมถึงต้องหมั่นตรวจสุขภาพอยู่เสมอ เพื่อให้ห่างไกลจาก 5 โรคร้าย ดังต่อไปนี้


 1 มะเร็ง เป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยเฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน

2 หัวใจและหลอดเลือด 
หากมีอาการ เจ็บหน้าอก ใจสั่น หัวใจเต้นผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์

โรคของต่อมไร้ท่อ เช่น เบาหวาน ไทรอยด์ ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมการบริโภค
4 โรคระบบทางเดินหายใจ เช่นวัณโรค ปอดอักเสบ ขณะที่คนไทยราว 20 ล้านคนมีเชื้อวัณโรค และพร้อมกำเริบหากสุขภาพทรุดโทรมเกิดจาก บุหรี่ ดื่มเหล้า และติดเชื้อเอดส์

5 โรคจากจากดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเราสามารถควบคุมไม่ให้เกิดได้ด้วยการ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และของมึนเมา

สมุนไพรบรรเทาโรคไข้หวัดที่มากับหน้าฝน

ในช่วงฤดูฝน อากาศเริ่มเย็นลง และมีความชื้นสูง การเปลี่ยนแปลงของสภาพอาการลักษณะนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โรคหลายชนิดสามารถแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น 


 สำหรับช่วงฤดูฝนนี้ไข้หวัดที่ควรใส่ใจเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ที่ติดต่อกันได้ง่ายแค่ไอหรือจามรดกัน สัมผัสเสมหะผู้ป่วย หรือสัมผัสทางมือที่ปนเปื้อนเชื้อโรค แต่อย่าพึ่งตกใจไปค่ะเพราะไข้หวัดใหญ่นี้ป้องกันได้ไม่ยาก แค่รักษาร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ล้างมือบ่อยๆ และควรฉีดวัคซีนกระตุ้นร่างกายให้มีการสร้างภูมิต้านทาน
ลดไข้ด้วยฟ้าทะลายโจร: นำต้นฟ้าทะลายโจรมามัดเป้นท่อน 1 กำมือ เอาไปต้มและให้ดื่มเมื่อมีไข้ ก่อนอาหารวันละ 3 เวลา
น้ำมะนาว+ เกลือ ขับเสมหะ :นำมะนาวมาคั้นจนได้น้ำมะนาว ใส่เกลือลงไปสักช้อนชาต่อน้ำมะนาว 1 แก้ว รสเปรี้ยวนี้จะไปกระตุ้นให้หลั่งน้ำเมือกมา ทำให้เสมหะหายหนืด ข้น
เคี้ยวมะแวง บรรเทาไอ :คนโบราณจะเก็บลูกมะแว้งเครือมาเคี้ยวเพื่อบรรเทาไอ แต่สมัยนี้มียาอมที่มีส่วนผสมของมะแว้งเครือก็ใช้บรรเทาไอได้ดีเช่นกัน

ข้อมูลจาก:ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย

รู้เท่าทันโรคริดสีดวงทวาร

ริดสีดวงทวาร เป็นโรคที่พบบ่อยทั้งในเพศชายและเพศหญิง ริดสีดวงทวารเป็นเนื่องจากมีภาวะที่หลอดเลือดดำที่มีอยู่ตามธรรมชาติของคนทั่วไป ในบริเวณทวารหนักเกิดการปูดพองเป็นหัว เรียกว่า หัวริดสีดวง แล้วมีการปริแตกของผนังหลอดเลือดขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ ทำให้มีเลือดออกเป็นครั้งคราว อาจพบเป็นเพียงหัวเดียวหรือหลายหัวก็ได้ โรงพยาบาลธนบุรี ให้ความรู้แนะนำเพื่อรู้ทันโรคริดสีดวงทวาร


 สาเหตุของโรคริดสีดวงทวาร เกิดจากการเบ่งถ่ายอุจจาระ ท้องผูก การนั่งนานๆ ภาวะตั้งครรภ์ หรืออาจส่งผลมาจากน้ำหนักตัวมาก การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย ไอเรื้อรัง ตับแข็ง ต่อมลูกหมากโตและผู้ที่มีเนื้องอกในช่องท้อง เป็นต้น

ลักษณะอาการของผู้ที่เป็นโรคริดสีดวงทวาร ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด คือ จะถ่ายอุจจาระออกมาก่อนจากนั้นจะมีเลือดสดๆ ไม่มีมูกเลือดปน มีก้อนที่ยื่นออกมาจากทวารขณะที่เบ่งอุจจาระ คลำได้ก้อนที่บริเวณทวารหนัก เจ็บและคันบริเวณทวารหนัก

สำหรับวิธีการรักษาริดสีดวงทวาร

ในปัจจุบัน มีวิธีการรักษาโรคริดสีดวงทวารหนัก

- รักษาโดยการให้ยาเหน็บที่ทวารหนักเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและสร้างความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด อาจใช้ร่วมกับยาระบายได้
- ฉีดยาที่หัวริดสีดวงทวารเพื่อให้เกิดพังพืดรัดหัวริดสีดวงและฝ่อได้เอง มักใช้ในกรณีที่หัวริดสีดวงมีเลือดออกและหัวริดสีดวงที่ย้อยไม่มาก
- ยิงยางรัดหัวริดสีดวง(Baron Gun) จะทำให้ริดสีดวงนั้นฝ่อและหลุดออกไปเองประมาณ 7 วัน
- รักษาโดยการผ่าตัด มักใช้ในระยะที่ 3,4 และริดสีดวงที่มีการอักเสบ

อาการหลังผ่าตัดริดสีดวงทวาร อาจมีเลือดออกได้ตั้งแต่หลังผ่าตัดจนถึงประมาณวันที่ 10 ของการผ่าตัดปกติจะมีเลือดออกไม่มากและจะหยุดเอง ถ้ามีเลือดออกมากให้มาพบแพทย์ หรือมีน้ำเหลืองซึ่งที่ขอบทวาร 4-6 สัปดาห์ ในกรณีที่ไม่ได้เย็บปิดแผล และบริเวณปากทวารหนักอาจบวมเป็นติ่ง แนะนำให้นั่งแช่ก้นด้วยน้ำอุ่น อาจถ่ายอุจจาระไม่ออกในระยะแรก

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร เน้นการรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ หรือ ยาเพิ่มกากใย ดื่มน้ำวันละประมาณ 6-8 แก้ว หลีกเลี่ยงเครื่องดื่ม ชา กาแฟ ออกกำลังกายสม่ำเสมอวันละ 30 นาทีถึง 1 ชม. อย่างน้อย 2-3 ครั้ง ต่อ สัปดาห์ ฝึกขับถ่ายอุจจาระสม่ำเสมอและขับถ่ายเป็นเวลาทุกวัน ผู้ที่มีอาการท้องผูกเป็นประจำให้สังเกตว่าอาหารชนิดใดที่รับประทานแล้วช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้นให้รับประทานอาหารชนิดนั้นเพิ่มขึ้นเพื่อส่งเสริมการขับถ่ายอุจจาระได้ง่ายขึ้น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ติดต่อกันอย่างน้อย 6-8 ชม. ต่อวัน และหลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนนานๆให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ


ข้อมูลโดยศูนย์โรคระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลธนุบรี

กิน “พาราเซตามอล“ มากไประวังตับพัง

กิน "พาราเซตามอล" มากไประวังตับพัง
เมื่อรู้สึกปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้อย่างแรกที่คนเรามักจะคิดถึงก็คือการกินยาพาราเซตามอล เนื่องจากเป็นยาที่หาซื้อได้ง่าย แต่ เราเชื่อว่าน้อยคนนักจะรู้ว่าหากกินติดต่อกันในปริมาณที่มากจนเกินไปอาจเสี่ยงตับพัง


เรื่องนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ให้ข้อมูลมาว่าปัจจุบันยาพาราเซตามอลที่ขึ้นทะเบียนในบ้านเรา มีชื่อการค้าประมาณ 900 ชื่อ การกินพาราเซตามอล ชั่วครั้งชั่วคราว เพื่อแก้ปวด ลดไข้ คงไม่มีปัญหาอะไร แต่บางคนใจร้อนอยากหายเร็ว กินครั้งละ 2 เม็ด ๆ ละ 500 มก. เวลาผ่านไปยังไม่ถึง 4 ชม. ก็กินซ้ำลงไปอีก กรณีเช่นนี้ทำให้ได้รับพาราเซตามอลถึง 2 กรัม ซึ่งอาจจะเป็นพิษต่อตับได้ อีกทั้งไม่ควรกินพาราเซตามอล เกินกำหนดตามเอกสารยาที่ระบุ สำหรับขนาดเหมาะสมกับผู้ใหญ่ กิน 1 เม็ด 500 มก. ทุก 4 ชั่วโมง และไม่ควรกินเกินวันละ 8 เม็ด สำหรับการใช้ยาในเด็ก ควรลดขนาดยาลง โดยใช้ยาครั้งละไม่เกิน 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม 

สิ่งสำคัญที่อยากฝากคือสำหรับสาวๆ นักดื่มต้องพึงระวังไว้ว่ายาพาราเซตามอลมีผลต่อคุณมากกว่าคนไม่ดื่มหลายเท่านัก และไม่ควรกินติดต่อกันเกิน 5 วันนะคะ

หิ้วของหนักนาน ส่งผลต่อไหล่และต้นแขน

การหิ้วของหนักนานๆ จะส่งผลต่อช่วงไหล่และต้นแขนอย่างไรบ้าง และจะมีวิธีป้องกันไม่ให้กระดูกและกล้ามเนื้อช่วงนี้มีอาการบาดเจ็บหรือเสื่อมสภาพอย่างไรคะ




การหิ้วของหนักเป็นเวลานานๆ ไม่ว่าจะเป็นการยก หาม แบก เทินของหนักต่างๆ เป็นเวลานานและทำบ่อยๆ ล้วนแต่ทำให้เกิดแรงกระทำต่อร่างกาย กล้ามเนื้อ และกระดูกสันหลังเพิ่มขึ้น เมื่อมีน้ำหนักมากกล้ามเนื้อต้องออกแรงมาก ซึ่งกล้ามเนื้อของเรามีหน้าที่เสมือนเป็นตัวช่วยกระจายแรงไม่ให้ลงบนกระดูกโดยตรง หากมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงก็จะดูดซับแรงกระแทกได้มาก

ในทางตรงกันข้ามหากกล้ามเนื้อมีอาการอ่อนแรงหรือความสามารถในการกระจายแรงลดน้อยลงก็จะมีแรงกระทำต่อกระดูกและข้อต่อมากขึ้น ผลที่เกิดกับกระดูก ข้อต่อ กล้ามเนื้อที่มีการเคลื่อนไหว และบริเวณที่ต้องรับน้ำหนักบริเวณนั้นก็จะเกิดความเสื่อมและเกิดปัญหามากกว่าปกติ การดูแลที่สำคัญคือต้องหลีกเลี่ยงการยกของหนัก

แต่หากต้องยกของหนักก็ต้องหาผู้ช่วยและยกของอย่างถูกวิธี หมั่นดูแลความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยจัดให้มีเวลาออกกำลังกายที่เหมาะสมและถูกต้องเหมาะกับสภาพร่างกาย ก็จะช่วยป้องกัน อาการบาดเจ็บและความเสื่อมสภาพของกระดูกและข้อต่อได้ 

นพ. กิตติพงศ์ พงศ์แพทย์พิพัฒน์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การกีฬา จาก Chirohealth Bangkok

วางมือถือบ้างนะ ถ้าอยากอายุยืน!


ปัจจัยที่ห้าในการดำรงชีวิตยุคดิจิตอลอย่างโทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟนนี่ เป็นตัวอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้ความดันพุ่งปรี๊ดได้พอๆ กับเกลือเค็มๆ เลยนะ นพ. Giuseppe Crippa นักวิจัยชาวอิตาลีพบว่าแม้จะยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดแต่อาสาสมัครที่คุยโทรศัพท์มือถือบ่อยๆ จะมีความดันโลหิตเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น จากปกติ 121/77 กลายเป็น 129/82 คาดว่าอาจเป็นเพราะเสียงเรียกเข้าที่รบกวนชีวิตหรือการพูดคุยโดยไม่มีการนัดหมายล่วงหน้าก่อให้เกิดความเครียดก็เป็นได้

อยากแก่ช้า ป่วยยาก หมั่นดูแล “ลำไส้“

ยุคสมัยของการเร่งรีบ การแข่งขันทำงานในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ บวกกับการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ทำให้หลายคนเกิดความเครียดลึกๆ โดยไม่รู้ตัว นำมาซึ่งอาการป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ เกิดอาการไม่สดชื่น ปวดท้อง ท้องอืด ขับถ่ายไม่ปกติ เมื่อไปพบแพทย์ก็ไม่สามารถระบุได้ว่ามาจากสาเหตุอะไร


 แต่สำหรับการแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยแบบองค์รวม (Anti-Aging Medicine) เรียกอาการเหล่านี้ว่า "ภาวะร่างกายสะสมพิษ" เมื่อร่างกายมีสารพิษสะสมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะของเสียที่ตกค้างอยู่ในตับและลำไส้ นำไปสู่การอักเสบและการรั่วซึมของผนังเซลล์ทำให้สารพิษเข้าสู่กระแสเลือดทำให้เกิดความผิดปกติและร่างกายเสียความสมดุล
ร.ต.ต.นพ.อัญวุฒิ ช่วยวงษ์ญาติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญของบาลานซ์ บาย ไฮโดรเฮลท์ คลินิกเวชศาสตร์ชะลอวัยแบบองค์รวม กล่าวว่า คนเราจะสุขภาพดีหรือไม่ดี ดูได้จากลำไส้ สังเกตได้จากว่า ท้องอืดไหม ถ่ายสะดวกไหม เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของระบบย่อยอาหารทั้งหมด ถ้าลำไส้ดี สุขภาพด็จะดีตามไปด้วย
"ลำไส้เล็กมีความสำคัญมากที่สุด แต่คนส่วนใหญ่กลับละเลยไม่ใส่ใจในการดูแล ลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกายโดยตรง หากรับประทานอาหารที่มีสารปนเปื้อนหรือมีสารพิษตกค้าง ทำให้ลำไส้เกิดการอักเสบ สารพิษซึมผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย อาทิ ภูมิแพ้ สิวที่รักษาไม่หาย ข้ออักเสบรูมาตอยด์ และไทรอยด์อักเสบ"
วิธีการดูแลลำไส้เล็กให้มีสุขภาพดี ร.ต.ต.นพ.อัญวุฒิแนะนำว่า ควรรับประทานอาหารที่ไม่มีสารพิษปนเปื้อน ถูกสุขลักษณะ ไม่รับประทานอาหารซ้ำซาก และรับประทานแบคทีเรียชนิดดีที่มีประโยชน์ (โปรไบโอติกส์) ซึ่งอยู่ในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยว เพื่อเสริมการช่วยย่อยให้มีประสิทธิภาพให้ดีขึ้น นอกจากนี้การดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอในแต่ละวันเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะหากดื่มน้ำน้อยจะส่งผลทำให้การดูดซึมน้ำในลำไส้ใหญ่มีปัญหาเกิดภาวะอุจจาระแข็งตัว ขับถ่ายไม่สะดวก และเกิดอาการท้องผูกได้

"สารพิษที่ตกค้างในร่างกายเปรียบเสมือนภัยเงียบที่คอยบ่อนทำลายสุขภาพ ทุกคนอยากแก่ช้าป่วยยาก การป้องกันโรคก่อนเกิดโรคสามารถทำได้ง่ายๆ โดยเริ่มต้นที่ใส่ใจดูแลตัวเอง ทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกาย พร้อมหมั่นล้างสารพิษและอนุมูลอิสระออกจากร่างกาย เพียงเท่านี้ท่านก็จะมีสุขภาพดีและห่างไกลโรคไปอีกนาน" ร.ต.ต.นพ.อัญวุฒิกล่าวทิ้งท้าย

กระดูกพรุน เรื่องใกล้ตัวที่ต้องดูแล ก่อนจะสายเกินไป

กระดูกพรุน ปัญหาสุขภาพระดับโลก เรื่องใกล้ตัวที่ต้องดูแล ก่อนจะสายเกินไป




เชื่อหรือไม่! ปัจจุบันอุบัติการณ์โรคกระดูกพรุนเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขอันดับ 2 ของโลก และอายุเฉลี่ยของผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนเริ่มน้อยลง ใครที่เคยคิดว่าโรคกระดูกพรุนเป็นเรื่องไกลตัว หรือเป็นเรื่องของผู้สูงอายุเท่านั้นคงต้องคิดใหม่



นอกจากสถิติที่น่าเป็นห่วงจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว มูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติยังเปิดเผยว่า ภาวะกระดูกพรุนทำให้ทุก 3 วินาที มีคนกระดูกหัก และทุก 22 วินาที มีคนกระดูกสันหลังหัก สำหรับคนไทย มูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ พบว่าในกลุ่มผู้สูงวัยอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ผู้หญิง 1 ใน 3 คน และผู้ชาย 1 ใน 5 คน มีปัญหากระดูกพรุน และแต่ละคนต้องสูญเสียค่ารักษาเฉลี่ยถึงปีละ 3 แสนบาท1 ฟังดูแล้วถือว่าน่าตกใจไม่ใช่น้อย สถาบันสุขภาพนิวทริไลท์ (Nutrilite Health Institute) เล็งเห็นถึงความสำคัญของสุขภาพกระดูก จึงสนับสนุนให้คนไทยหันมาให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างสุขภาพกระดูกให้แข็งแรงเพราะคนไทยส่วนใหญ่ได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่ถึงครึ่งของปริมาณขั้นต่ำที่ร่างกายต้องการต่อวัน บวกกับพฤติกรรมทำร้ายกระดูกต่างๆ ยิ่งทำให้ปัญหาสุขภาพกระดูกเป็นปัญหาใหญ่ที่ทั่วโลกต้องหันมาให้ความสำคัญ
โรคกระดูกพรุน เกิดจากการที่แคลเซียมสลายออกจากกระดูกมากกว่าการสร้างมวลกระดูก ทำให้ความหนาแน่นในกระดูกลดลง รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกระดูก ส่งผลให้รูพรุนที่มีอยู่เป็นปกติในเนื้อกระดูกสลายตัวออกจนรูพรุนกว้างขึ้น กระดูกบางลงจนไม่สามารถรองรับน้ำหนักหรือแรงกระแทกได้ตามปกติ กระดูกจึงหักได้ง่าย โรคนี้จะไม่ปรากฏอาการผิดปกติใดๆ โดยกว่าจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อมีการแตกหักของกระดูก หรือได้รับการกระแทกเพียงเบาๆ กระดูกก็หักแล้ว บางรายถึงขั้นทุพพลภาพหรือเสียชีวิต เนื่องจากเกิดอาการแทรกซ้อนตามมา

นพ.สมบูรณ์ รุ่งพรชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์วัยยุวัฒน์ เปิดเผยว่า "องค์การอนามัยโลก รายงานว่า สถิติผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนทั่วโลกเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นปัญหาทางสาธารณสุข อันดับ 2 รองจากโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด2 โดยอายุเฉลี่ยของผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ กระดูกพรุนเป็นปัญหาสุขภาพที่คนไทยมักมองข้ามเพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว หรือเป็นเรื่องของผู้สูงอายุเท่านั้น ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง แคลเซียมถือเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อความสมบูรณ์แข็งแรงของกระดูก และการได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอในทุกช่วงวัยจะทำให้เสี่ยงที่จะประสบกับภาวะกระดูกแตกหรือกระดูกร้าวได้เมื่อสูงอายุขึ้นเพราะโรคกระดูกพรุนไม่มีอาการบ่งชี้ในช่วงเริ่มต้น จนเมื่อรู้ตัวอีกทีก็มักจะสายเสียแล้ว"
"เป็นที่น่ากังวลว่า คนไทยรับประทานแคลเซียมน้อยมาก เฉลี่ยเพียงวันละ 361 มิลลิกรัม3 จากความต้องการต่อวันคือ 800 - 1,000 มิลลิกรัม4 ปัจจุบันยังพบว่าประชากรวัยหนุ่มสาวไปจนถึงวัยทำงานมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับปัญหา

ความผิดปกติอันเกี่ยวเนื่องกับกระดูกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจัยเสี่ยงที่มักพบบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถและการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น ท่านอน นั่ง ยืน หรือแม้แต่การยกของหนัก แฟชั่นที่อาจเป็นอันตรายต่อกระดูก เช่น การใส่รองเท้าส้นสูง การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว หรือแม้แต่การสูบบุหรี่ และบริโภคเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ และแอลกอฮอล์ ตลอดจนความนิยมการมีผิวขาวของผู้หญิงเอเชียก่อให้เกิดพฤติกรรมการหลบเลี่ยง
แสงแดด ซึ่งเป็นแหล่งในการสังเคราะห์วิตามินดีที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม การบริโภคอาหารไม่ถูกสัดส่วน และขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น เหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อความแข็งแรงของกระดูก และอาจเกิดโรคกระดูกในที่สุด" นพ.สมบูรณ์กล่าวเพิ่มเติม
กระดูกเป็นอวัยวะที่มีชีวิตโดยมีเซลล์หลัก 2 ชนิด ชนิดแรกมีหน้าที่สลายกระดูกเรียกว่า Osteoclast และอีกชนิดหนึ่งมีหน้าที่สร้างกระดูกใหม่เรียกว่า Osteoblast ซึ่งเซลล์ทั้ง 2 ชนิดนี้ทำงานอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดจนตาย โดยช่วงเวลาของการสร้างและสลายกระดูกแบ่งเป็น 3 ช่วง ดังนี้ 1.) ช่วงการสร้างมวลกระดูกเริ่มต้นเมื่อแรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 30 ปี 2.) ช่วงการคงมวลกระดูกเมื่ออายุ 30 - 45 ปี 3.) ช่วงการสลายมวลกระดูกเมื่ออายุ 45 ปีขึ้นไป โดยการสร้างกระดูกใช้เวลานานถึง 4 เดือน ในขณะที่แคลเซียมปริมาณเท่ากันถูกดึงออกจากกระดูกในระยะเวลาเพียง 4 สัปดาห์เท่านั้น ดังนั้น การได้รับแคลเซียมจากอาหารในปริมาณที่เหมาะสมตั้งแต่วัยเด็กจนวัยชราจะช่วยดูแลสุขภาพของกระดูกได้ดี และช่วยลดความเสี่ยงของปัญหากระดูกบางปัญหาได้ โดยช่วงอายุที่กระดูกดูดซึมแคลเซียมได้ดีที่สุดคือ 18 - 30 ปี
ดร. คีธ แรนดอล์ฟ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการของสถาบันสุขภาพนิวทริไลท์ เผยว่า "แนวทางการป้องกันโรคกระดูกพรุนที่ดีที่สุดคือ การมีโภชนาการเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพกระดูกที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับประทานแคลเซียมให้เพียงพอตามที่ร่างกายต้องการต่อวันจะช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นคือ วิตามินดี ช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส แมกนีเซียม เป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ แร่ธาตุอื่นๆ ได้แก่ สังกะสี ทองแดง แมงกานีส เป็นองค์ประกอบรวมที่ช่วยส่งเสริมการดูแลสุขภาพกระดูกด้วยเช่นกัน และรวมไปถึงสารสกัดเข้มข้นอัลฟัลฟา ที่นอกจากจะมีแร่ธาตุแล้ว ยังมีไฟโตนิวเทรียนท์หลายชนิดที่ให้ผลดีต่อเมทา- บอลิซึมของสารอาหารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูกอีกด้วย เพราะฉะนั้นจึงควรหันมาเสริมแคลเซียมและสารอาหารที่จำเป็นต่อสุขภาพกระดูกตั้งแต่วัยเด็กหรือหนุ่มสาวในปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละช่วงวัยอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต นอกเหนือจากการบริโภคอาหารให้ถูกต้องตามโภชนาการแล้ว แนวทางการป้องกันโรคกระดูกพรุนที่ดีที่สุด คือการออกกำลังกายอย่างถูกวิธีสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง การออกแดดในช่วงเช้า และเย็น และลดปัจจัยเสี่ยงต่อการทำลายกระดูกต่างๆ เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ชา หรือกาแฟ ก็จะมีส่วนช่วยดูแลสุขภาพของกระดูกให้แข็งแรงได้



 ปัญหาสุขภาพกระดูกไม่ใช่เรื่องไกลตัว เราทุกคนมีโอกาสประสบกับโรคกระดูกพรุนได้ อาจไม่ใช่ในวันนี้ แต่พฤติกรรมต่างๆ ที่เราทำร้ายกระดูกจะส่งผลอย่างแน่นอนในอนาคต ยังไม่สายเกินไปที่เราจะหันมาดูแลสุขภาพกระดูกของตนเองและคนที่เรารักเช่นเดียวกับการดูแลสุขภาพร่างกายส่วนอื่นๆ เพื่อกระดูกแข็งแรงอยู่กับเราไปอีกนานเท่านาน

คุมเบาหวานให้อยู่ ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด

เข้าใจกันมาตลอดว่า การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้เป็นเบาหวานเป็นเรื่องยาก แต่จริงๆแล้วเพียงแค่การปรับทัศนคติและพฤติกรรมการใช้ชีวิตใน 4 ข้อหลักๆก็เพียงพอแล้วกับการ "คุมเบาหวาน"

แล้วการคุมเบาหวาน หรือ การคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำคัญกับผู้ป่วยอย่างไร
จากการศึกษาเกี่ยวกับโรคเบาหวานครั้งใหญ่ที่สุด UKPDS (United Kingdom Prospective Diabetes Study) ซึ่งใช้เวลาถึง 20 ปี ในการศึกษากับอาสาสมัครผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 กว่า 5,000 คน ณ ศูนย์การแพทย์ 23 แห่ง ในอังกฤษ ไอร์แลนด์เหนือและสกอตแลนด์ ชี้ให้เห็นว่า การจัดการเบาหวานด้วยวิธีรักษาที่มีอยู่อย่างจริงจัง สามารถลดภาวะแทรกซ้อนระยะยาว ซึ่งเกิดจากเบาหวาน ชนิดที่ 2 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเคร่งครัด ช่วยลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคแทรกซ้อนทางตา อันเป็นผลจากเบาหวานได้ถึง 25% และโรคไตเสื่อมระยะแรกได้ถึง 33%

เห็นอย่างนี้แล้ว ทำให้เข้าใจว่าแม้โรคเบาหวานจะถือว่าเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่หายขาด แต่ผู้ป่วยก็สามารถรับมือและอยู่ร่วมกับเบาหวานอย่างเป็นปกติสุข โดยเริ่มจากการปรับทัศนะและมีความตั้งใจจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตใน 4 ข้อหลัก ดังนี้

1. การทานอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน คาร์โบไฮเดรตมีอิทธิพลสูงสุดต่อค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่หลังอาหาร แม้จะมีหลักการแนะแนวอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหรือทดแทน ก็อาจจะไม่ได้ส่งผลต่อผู้ป่วยเบาหวานแต่ละคนเหมือนๆกัน ดังนั้นผู้ป่วยควรมีการจัดตารางอาหารให้สมดุล ควบคู่ไปกับการคำนวณคาร์โบไฮเดรตและการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ วิธีนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยมีความยืดหยุ่นในการเลือกทานอาหารได้ในแต่ละวัน

2. การออกกำลังกายการทำตัวแอคทีฟ กระฉับกระเฉง และออกกำลังในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเรื่องการออกกำลังที่เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับยาฉีดอินซูลิน นอกจากนี้ควรคำนึงถึงข้อควรระวังต่างๆเช่น การป้องกันบาดแผลที่เท้า

3. ยาเบาหวานและอินซูลิน ผู้ป่วยเป็นเบาหวานหลายๆท่านอาจจะไม่จำเป็นต้องรับประทานยาเบาหวานหรือฉีดอินซูลิน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการและแนวทางการรักษาจากทีมแพทย์ของผู้ป่วยแต่ละคน แต่หากได้รับการจ่ายยาจากทีมแพทย์ ผู้ป่วยจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

4. ตรวจเช็คระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ
ซึ่งก็ไม่ต่างจากการวางแผนลดน้ำหนักที่เราจะหมั่นตรวจสอบน้ำหนักตัวเป็นระยะเพื่อให้รู้ว่าแผนที่ทำมาได้ผลดีหรือไม่ ผู้ป่วยเบาหวานก็เช่นกันที่ต้องตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดไม่ว่าจะจากทีมแพทย์หรือการตรวจระดับน้ำตาลด้วยตนเอง เพื่อจะทำให้คุณและทีมแพทย์ทราบว่าแผนการควบคุมเบาหวานที่ทำอยู่ได้ผลดีหรือควรจะมีการปรับเปลี่ยนหรือไม่

ดังนั้นหากละความเคยชินเดิมๆ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต การอยู่ร่วมกับเบาหวานหรือการจะควบคุมเบาหวานนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด

HPV…ไวรัสตัวร้าย รู้จักให้ดีก่อนมีเซ็กซ์

ชื่อมั้ยว่าผู้หญิง 8 ใน 10 คน มีโอกาสติดเชื้อไวรัสตัวนี้ครั้งหนึ่งในชีวิต และส่วนใหญ่จะติดโดยไม่รู้ตัว แต่ก่อนที่จะตื่นกลัวกันไปใหญ่ มารู้จัก ไวรัส HPV แบบเจาะลึกกันเสียก่อนดีกว่า!
เรามักรู้จัก HPV ในฐานะของไวรัสที่เป็นต้นตอของมะเร็งปากมดลูก สาเหตุการเสียชีวิตของผู้หญิง 14 คนต่อวัน(มากที่สุดเป็นอันดับ 1) แต่ที่จริงแล้วไวรัสตัวนี้ไม่ได้ก่อแค่มะเร็งเท่านั้น และ ก็ไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่ต้องระวัง วันนี้พาคุณมาไขทุกข้อสงสัยไปกับ นพ. กมล ภัทราดูลย์ สูติ - นรีแพทย์ด้านมะเร็ง ประจำศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลเวชธานี

HPV คืออะไร และก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง
HPV หรือ Human Papilloma Virus ก็คือ ตระกูลของไวรัสชนิดหนึ่งซึ่งติดต่อกันได้ไม่เลือกไม่ว่าผหญิงหรือผู้ชาย ไวรัสตัวนี้จะอาศัยและเพิ่มจำนวนอยู่ในชั้นผิวหนัง ก่อให้เกิดความผิดปกติขึ้น กลายเป็นโรคได้ทั้งมะเร็งปากมดลูกและหูดตามผิวหนัง

HPV ติดต่อกันได้อย่างไร?อย่างที่บอกว่าเชื้อไวรัส ตัวนี้อยู่ที่ชั้นผิวหนังการติดต่อจึงเกิดจากการสัมผัส แต่ไม่ใช่แค่จับโดนเชื้อแล้วจะติดกันง่ายๆผิวหนังบริเวณที่จะติดเชื้อต้องมีแผลด้วย เราจึงมักพบเชื้อนี้จากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือแม้แต่การช่วยตัวเอง เพราะมีทั้งเชื้อไวรัสและรอยแผลเล็กๆเกิดขึ้นนั่นเองสำหรับสาวๆที่เคยได้ยินมาว่าแค่เข้าห้องน้ำสาธารณะก็ติด HPV ได้แล้วก็อย่าตื่นตระหนกไปจริงอยู่ที่มีการตรวจพบเชื้อชนิดนี้ในห้องน้ำจำนวนมาก แต่เวลาทำธุระส่วนตัว เราก็ไม่ได้ใช้อวัยวะที่มีแผลส่วนไหน (โดยเฉพาะช่องคลอด) ไปสัมผัสกับที่รองนั่งโถส้วม ก๊อกน้ำ หรือก้านกดชักโครกสักหน่อย ดังนั้น โอกาสตามทฤษฎีจึงมีความเป็นไปได้ แต่ในทางปฎิบัติแล้วเปอรืเซ้นต์การติดเชื้อจากกรณีนี้ค่อนข้างต่ำ

ป้องกันตัวเองจาก HPV ได้อย่างไร?
สำหรับสาวๆเดี๋ยวนี้มีการผลิตวัคซีนป้องกัน HPV บางตัวที่พบได้บ่อย ในประเทศไทยหมอแนะนำให้ฉีดตอนช่วงอายุประมาณ 12-13 ปี แต่ถ้าคุณยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ก็ควรฉีดก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก เป็นวัคซีนแบบฉีดเข้าไปที่แขน (ไม่ใช่ที่น้องหนู...ไม่ต้องกลัว ) ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดก็มีเพียงเล็กน้อย เช่น ปวด บวม แดง และคัน แต่ไม่รุนแรงมาก และจะหายไปในเวลาไม่นาน บางคนอาจเป็นไข้ แต่ก็จะหายไปเองเช่นกัน วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจะมีทั้งหมด 3 เข็ม แต่ละเข็มจะฉีดห่างกันและจะครบคอร์ภายใน 6 เดือน เมื่อเริ่มฉีดแล้วสาวๆก็จำเป็นจะต้องฉีดให้ครบตามเวลา

ตรวจภายในทุกปี...HPV ก็ไม่ต้องกลัว
แค่คำสั้นๆอย่างตรวจภายในสาวๆหลายคนก็ส่ายหน้าหนีไม่ค่อยอยากเจอเท่าไหร่แต่โชคร้ายของเราที่โรคร้ายอย่างมะเร็งปากมดลูกไม่มีสัญญาณเตือนอะไรที่แน่ชัดทางเดียวที่จะพบโรคได้ตั้งแต่ระยะต้นๆและเพิ่มโอกาสในการรักษาก็คือคุณต้องมาตรวจเป็นประจำและเเม้จะเคยรับวัคซีน HPV มาแล้วก็ต้องตรวจ

ตรวจเมื่อมีเซ็กซ์
ไม่มีการระบุอายุแน่ชัด ขึ้นอยู่กับว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า หรือคุณเริ่มมีเพศสัมพันธ์เร็วแค่ไหน เพราะเมื่อเริ่มมีเพศสัมพันธ์คุณก็มาตรวจดูได้แล้วล่ะ ส่วนสาวโสดถ้าประจำเดือนปกติ ตรวจสุขภาพทั่วไปและอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกปกติ จะเริ่มตรวจภายในเช็กมะเร็งปากมดลูกตอนอายุ 30 ปีขึ้นไปก็ได้

ในรอบหนึ่งเดือนเวลาไหนเหมาะที่สุด?
จริงๆ ในวันท้ายๆ ของประจำเดือนก็มาตรวจได้แล้ว หรือในช่วง 7 วันหลังหมดประจำเดือนก็ดี เพราะเป็นช่วงที่แพทย์จะสามารถมองเห็นเซลล์ต่างๆ ภายในได้ชัดเจนมากขึ้น
หมอจะตรวจยังไงบ้าง?
แพทย์จะทำการเก็บตัวอย่างเซลล์บริเวณปากมดลูกเพื่อนำไปตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ จากนั้นก็จะตรวจด้วยตาและการคลำดูมดลูก/รังไข่ว่าผิดปกติหรือไม่ สำหรับเนื้อเยื่อที่ส่งตรวจใช้เวลารอผลประมาณ 3-5 วันเท่านั้น

เจอ HPV อย่าเพิ่งตกใจ!
เชื้อ HPV ไม่ใช่มะเร็ง การตรวจพบเชื้อก็หมายความว่าคุณมีความเสี่ยงที่จะเป็น แต่ยังไม่ได้เป็น แพทย์จะให้คำแนะนำว่าควรดูแลตัวเองอย่างไร นัดกลับมาตรวจซ้ำอีกครั้ง และขอให้คุณมั่นใจได้เลยว่า ตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้นอย่างนี้ โอกาสเสียชีวิตของคุณไม่สูงเท่าที่คิดหรอก!

5 ทำ 5 ไม่ ห่างไกลมะเร็ง

5 ทำ 5 ไม่ ไกลมะเร็ง
คอลัมน์ คุยกับหมอพิณ
โดย พญ.พิณนภางค์ ศรีพหล
"จากผลตรวจชิ้นเนื้อ คุณเป็นมะเร็งค่ะ" ประโยคที่หมอไม่อยากจะพูดและคนไข้ไม่อยากจะได้ยิน แค่คำว่า "มะเร็ง" คำเดียว เป็นข่าวร้าย เหมือนคำพิพากษาที่ฟาดลงมาต่อผู้ป่วยและครอบครัว แค่ได้ยินคำนั้น คนไข้ส่วนใหญ่ก็สติกระจัดกระจาย หมออธิบายอะไรไป ก็ดูจะไม่เข้าหู
อันที่จริงแล้ว มะเร็งบางอย่างบางระยะก็รักษาให้หายขาดได้ แต่ถ้าเลือกได้ก็ขอเลือกที่จะไม่เป็นดีกว่า  แต่บางอย่างเราก็เลือกไม่ได้ คล้ายชีวิตถูกลิขิตมา แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะนอนรอให้ชะตาลิขิตไปซะทีเดียว
วันนี้เราจะมาคุยกันในส่วนที่ต้องฝ่าฟัน ข้อมูล 5 ไม่ 5 ทำ นำมาจากแผ่นพับ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ น่าสนใจมากทีเดียว ไม่ยาก แค่นำมาใช้ในชีวิตประจำวันให้เป็นนิสัยเท่านั้นเองค่ะ




5 ทำ คือ 5 อย่างที่ควรทำ ได้แก่
1.ออกกำลังกายเป็นนิจ เพราะว่าจะช่วยลดอุบัติการณ์การเกิดโรคมะเร็ง และโรคหัวใจได้ นอกจากนี้ ยังช่วยลดความอ้วน และคลายเครียดได้ด้วย ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30 นาที
2.ทำจิตแจ่มใส เพราะร่างกายแข็งแรงมีพื้นฐานมาจากจิตใจที่แข็งแรง
3.กินผักผลไม้ เพราะในผักผลไม้อุดมไปด้วยสารต้านมะเร็ง และมีเส้นใยอาหาร ลดการเกิดโรคมะเร็งได้ เราควรทานผักผลไม้ให้ได้ครึ่งหนึ่งของปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ หรือประมาณ 500 กรัมต่อวัน จำง่าย ๆ ว่า (ผักครึ่งหนึ่ง อย่างอื่นครึ่งหนึ่ง)
4."กิน" อาหารให้ครบ 5 หมู่ ไม่ซ้ำซากจำเจ "ลด" อาหารไขมันสูง อาหารปิ้ง ย่าง ทอดที่ไหม้เกรียม เนื้อสัตว์สีแดง และอาหารหมักดอง "หลีกเลี่ยง" อาหารที่มีสารดินประสิว และไนโตรซามิน เนื่องจากมีสารก่อมะเร็ง
5.ตรวจร่างกายเป็นประจำ มะเร็งบางประเภทสามารถรักษาให้หายขาดได้ ถ้าอยู่ในระยะเริ่มต้น
ดังนั้น การตรวจร่างกายประจำปีจึงสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 35 ปี เพราะจะทำให้รู้ว่าท่านอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งชนิดใด
ผ่าน 5 ทำมาแล้ว ทีนี้มาถึง 5 ไม่บ้างนะคะ
1.ไม่สูบบุหรี่ บุหรี่เป็นสาเหตุของมะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งไต และมะเร็งปากมดลูก นอกจากมะเร็งแล้ว บุหรี่ยังก่อให้เกิดโรคหัวใจ ถุงลมโป่งพองอีกด้วยนะคะ ต่อให้เราไม่ได้สูบเอง การสูดดมควันบุหรี่ที่มีสารน้ำมันทาร์ และสารเคมีมากมายที่มีสารก่อมะเร็งร่วมด้วย ดังนั้น ควร "งด" สูบบุหรี่ และ "หลีกเลี่ยงการสูดดมควันบุหรี่จากผู้อื่นด้วยค่ะ
2.ไม่มีเซ็กซ์มั่ว สตรีที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย และคู่นอนหลายคน มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูก ดังนั้น ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อย และมีเพศสัมพันธ์เมื่อถึงวัยอันควร หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ถุงยางอนามัย และการตรวจภายในประจำปี ช่วยได้ค่ะ
3.ไม่มัวเมาสุรา สุราเกี่ยวข้องกับมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม และมะเร็งหลอดอาหาร แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ชายไม่ควรดื่มสุราเกิน 2 แก้วต่อวัน ส่วนผู้หญิงไม่ควรเกิน 1 แก้วต่อวัน
4.ไม่ตากแดดจ้า เพราะแสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต หรือ UV ที่เป็นปัจจัยต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง นอกจากมะเร็งแล้วยังทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่น และต้อกระจกอีกด้วย
5.ไม่กินปลาน้ำจืดดิบ การกินปลาตระกูลปลาตะเพียนที่มีตัวอ่อนระยะติดต่อของพยาธิใบไม้ตับ โดยหากบริโภคแบบสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ก้อย ลาบ ทำให้เกิดมะเร็งท่อน้ำดีในตับได้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารดังกล่าว และตรวจอุจจาระหาไข่พยาธิทุกปี
5 ทำ 5 ไม่ ไม่ยากอย่างที่คิดใช่ไหมคะ แค่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับชีวิตประจำวันให้เป็นนิสัยเท่านั้นเอง


ถ้าไม่อยากเป็นตะคริว

ตะคริว คือ การที่มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงเป็นเวลานาน โดยทั่วไปตะคริวมักเกิดไม่เกินสองนาที แต่อาจมีบางรายเกิดนานได้ถึงห้านาทีหรือนานกว่านั้น ในบางรายอาจเกิดบ่อยจนทำให้เกิดความทุกข์ทรมานได้ โดยทั่วไปตะคริวมักเกิดในผู้สูงอายุและเกิดในตอนกลางคืน แต่ก็อาจเกิดในคนอายุน้อยและเกิดได้ทุกเวลา อาการนี้ถึงแม้จะไม่ส่งผลเสียถึงแก่ชีวิต แต่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ถ้าเกิดระหว่างว่ายน้ำ หรือขับรถ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้



สาเหตุของการเกิดตะคริว
สาเหตุการเกิดยังไม่ทราบแน่ชัด มีหลายทฤษฎี อาจเกิดจากการที่เอ็นและกล้ามเนื้อไม่ได้มีการยืดตัวบ่อยๆ ทำให้มีการหดรั้ง เกร็งได้ง่ายเมื่อมีการใช้กล้ามเนื้อนั้นมากเกินไป นอกจากนั้นยังอาจเกิดจากเซลล์ประสาทและเส้นประสาทที่ควบคุมการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติไป และประการสุดท้ายอาจเกิดจากการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อไม่ดีพอซึ่งมักพบในคนที่มีโรคที่ทำให้หลอดเลือดตีบ เช่น โรคเบาหวาน เป็นต้น
อาหารที่ควรรับประทาน
น้ำมะขือเทศ น้ำส้ม มะนาว นม กล้วย เมล็ดผักทอง งา ถั่วเหลือง ป้วยเล็ง ปลาทะเลและวิตามินอื่นๆอีกมากหลายชนิด
อาหารที่ควรเลี่ยงรับประทาน
ชา กา แฟ น้ำอัดลม คาเฟอีนจากเครื่องดื่มเหล่านี้ เป็นตัวการทำให้เลือดข้น เมื่อเลือดไหลเวียนไม่สะดวกกล้ามเนื้อจะแข็งแกร็ง จนกายเป็นตะคริวไปในที่สุด

Tip:ปฐมพยาบาลถูกวิธีตะคิวก็หายเร็วขึ้น
ถ้าเป็นตะคริวที่น่อง
เหยียดขาข้างที่เป็นตะคริวออกให้สุด ใช้มือข้างหนึ่งประคองส้นเท้าไว้ ส่วนมืออีกข้างค่อยๆ ดันปลายเท้าขึ้นลงอย่างช้าๆ ประมาณ 5 นาที แล้วนวดที่น่องเบาๆ ไม่ควรนวดแรงเพราะกล้ามเนื้ออาจจะบาดเจ็บ ทำให้ตะคริวกลับมาอีกได้
ถ้าเป็นตะคริวที่ต้นขา
เหยียดขาข้างที่เป็นตะคริวออกให้สุด ใช้มือข้างหนึ่งประคองส้นเท้าไว้ ส่วนมืออีกข้างค่อยๆ กดลงบนหัวเข่า แล้วนวดต้นขาบริเวณที่เป็นตะคริวเบาๆ
ถ้าเป็นตะคริวที่นิ้วเท้า
เหยียดนิ้วเท้าตรงและลุกขึ้นยืนเขย่งเท้า เดินไปมาเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวจากนั้นค่อยๆ นวดบริเวณนิ้วเท้าเบาๆ
ถ้าเป็นตะคริวที่นิ้วมือ
เหยียดนิ้วมือออกเพื่อให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นคลายออก จากนั้นก็ค่อยๆนวดนิ้วมือทีละนิ้วเบาๆ


คนอ้วนง่ายกินเครื่องเทศรสเผ็ดร้อนจัดจะดีต่อระบบย่อยอาหาร

สธ.25 ส.ค.- แพย์แนะวิธีใช้เครื่องเทศดูแลสุขภาพ คนที่มีระบบย่อยอาหารและการเผาผลาญดีอยู่แล้ว ควรเลือกเครื่องเทศรสเผ็ดน้อย สำหรับคนอ้วนจัดหนักรสเผ็ดร้อนมากจะดี พบได้ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ 4-8 ก.ย.นี้




ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร เภสัชกรเชี่ยวชาญ ด้านเภสัชกรรมการผลิต โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวถึงประโยชน์ของเครื่องเทศในดูแลสุขภาพช่องท้องว่า เครื่องเทศส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อน กลิ่นหอมฉุน ในแถบดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน ถือว่าเป็นแหล่งเครื่องเทศที่สำคัญของโลก เช่น พริกไทย อบเชย กานพลู ลูกจันทร์ ดอกจันทร์ มีแหล่งผลิตใหญ่อยู่ที่อินโดนีเซียและมาเลเซีย ส่วนกระวานพบมากที่เขมร ส่วนประเทศไทย พบว่าเครื่องเทศที่มีรสเผ็ดร้อนมีคุณสมบัติช่วยเสริมการทำงานของระบบการย่อยอาหารให้สมบูรณ์ การไหลเวียนโลหิตจะดี ผิวพรรณผ่องใส หายใจไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่มีกลิ่นตัว มีชีวิตชีวา สุขภาพแข็งแรง มีภูมิต้านทานดี
ดังนั้น การเลือกบริโภคเครื่องเทศควรเหมาะสมกับธาตุของแต่ละคน คนที่มีระบบย่อยอาหารและการเผาผลาญดีอยู่แล้ว ควรใช้เครื่องเทศที่มีรสเผ็ดร้อนไม่มาก และควรมีรสฝาดปนด้วย เช่น ขมิ้น ส่วนคนที่อ้วนง่าย แสดงว่าระบบย่อยอาหารไม่ดีนัก ควรเลือกใช้เครื่องเทศที่มีรสเผ็ดร้อนมาก เช่น พริกไทย ขิงแห้ง ดีปลี ส่วนรูปร่างคนผอมบางหรือผู้สูงอายุ ควรเลือกบริโภคเครื่องเทศกลุ่มที่มีรสหอมฉุนมากกว่ารสร้อน เช่น กระวาน ลูกผักชี กระชาย มะกรูด ตระไคร้ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-8 กันยายน 2556 ณ อิมแพค เมืองทองธานี ฮอลล์ 7-8 บูธโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร มีกิจกรรมเรื่องเครื่องเทศและสมุไพรปรับสมดุลร่างกายเผยแพร่แก่ผู้ที่มาร่วมงาน มีหนังสือแจก
ทุกวัน

ด้าน นพ.ปภัสสร เจียมบุญศรี รองอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวเชิญชวนประชาชนที่สนใจศาสตร์ด้านการแพทย์แผนไทย ภูมิปัญญาไทย การแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์ทางเลือก เข้าชมงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 10 ภายในงานมีการประชุมวิชาการ มีบริการตรวจสุขภาพจากผู้เชี่ยวชาญ ลานภูมิปัญญาสี่ภาค การอบรมหลักสูตรระยะสั้นด้านการแพทย์แผนไทยกว่า 40 หลักสูตรฟรี ลงทะเบียนได้หน้างานก่อนการอบรม 2 ชั่วโมงทุกวันตลอดงาน รับแจกหนังสือการดูแลสุขภาพในช่องท้องจากโรงพยาบาลเจ้าพยาอภัยภูเบศรวันละ 200 เล่ม ต้นไม้วันละ 1,000 ต้น.-สำนักข่าวไทย