วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เกร็ดน่ารู้

                                                                             



















มะนาวกับสุขภาพ


           

         มะนาว เป็นผลไม้ที่อยู่คู่ครัวไทยมานาน นอกจากจะเป็นเครื่องปรุงอาหารรสแซบที่หลายคนขาดไม่ได้ยังมีประโยชน์อีกมาก มาย เช่น เป็นเครื่องดื่มแก้กระหาย เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง สมุนไพร ทำเป็นน้ำยาล้างจานรักษาความสะอาด เครื่องหอมดับกลิ่น 
        ที่สำคัญในทางการแพทย์ น้ำมะนาวสามารถนำไปใช้เป็นส่วนผสมของยารักษาโรคได้ เช่นโรคลักปิดลักเปิด ยาแก้ไอขับเสมหะ หลายคนคงรู้จักดีว่าต้องบีบหรือคั้นน้ำ ผสมน้ำผึ้ง แล้วจึงใส่เกลือเล็กน้อยเพื่อให้จิบบ่อย ๆ ก็จะช่วยได้เป็นอย่างดี หรือจะใช้เป็นยาทาแก้กลาก เกลื้อน หิด ด้วยการบีบน้ำมะนาวผสมผงกำมะถันทาก่อนนอน ทาแก้น้ำกัดเท้าก็ได้ด้วย
        สำหรับเปลือกของมะนาว ก็มีประโยชน์ไม่แพ้กันแม้จะมีรสขม ช่วยขับลม รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ซึ่งวิธีใช้โดยการนำเปลือกสดของมะนาวประมาณครึ่งผล คลึงให้น้ำมันออกมาแล้วฝานบาง ๆ ชงกับน้ำร้อนดื่มเวลามีอาการหรือหลังอาหาร 3 เวลา      
       นอกจากนี้ มะนาวยังสามารถสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้แก่ร่างกายได้ด้วย เช่น ช่วยลดและควบคุม คอลเลสเตอรอลในเลือดซึ่งเป็นไขมันไม่ดี จะทำให้ป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเป็นอย่างดีโดยเฉพาะผู้หญิงวัยทอง ในระยะหลังมีผลงานวิจัยจากต่างประเทศหลายชิ้นงานที่ระบุว่า น้ำมะนาวเข้มข้นมีฤทธิ์ต้านการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ปอด ช่องปาก กระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านมได้อีกด้วย
      นับว่าผลไม้ลูกเล็กๆ นี้มีประโยชน์อเนกอนันต์ จงใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย ยังสร้างรายได้ให้ชาวไร่ชาวสวน ในขณะเดียวกันการปลูกมะนาวก็ยังส่งผลต่อการรักษาสภาพดิน น้ำ เรียกว่าส่งเสริมการใช้การกินมะนาวได้ประโยชน์ทั้งคน และสิ่งแวดล้อม ใครที่ไม่ชอบก็ต้องหัด ใครที่ชอบก็ส่งเสริมให้กินให้ใช้มะนาวแท้ ๆ อย่าไปใช้มะนาวเทียม หรือ น้ำอัดลมรสมะนาว เพราะนั่นจะไม่ได้ประโยชน์อย่างที่ต้องการแล้วอาจมีโทษแทรกมาอีกด้วย

กินหอมแดงป้องกันโรคหัวใจ


        
   นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษา โดยการป้อนหนูที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารที่มีคอเลสเทอรอลสูง แล้วให้กินหอมแดงที่ทุบแล้ว พบว่าหลังจากทำมา 2 เดือน ระดับคอเลสเทอรอลเลวลดลงโดยเฉพาะร้อยละ

             นักวิจัยมหาวิทยาลัยในฮ่องกง พบประโยชน์ของหอมแดง ซึ่งเป็นเครื่องปรุงอาหาร ทั้งในเอเชีย และเมดิเตอร์เรเนียนว่า ช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ โดยช่วยกำจัดไขมันเลว ซึ่งเป็นตัวการทำให้หัวใจวายและอัมพฤกษ์ อัมพาตออกจากร่างกาย และรักษาไขมันดีไว้ เป็นการป้องกันโรคหัวใจ
           หัวหน้าคณะนักวิจัย เชิน ยู เชน กล่าวว่า แม้ว่าจะมีการวิจัยหัวหอมอย่างกว้างขวาง แต่ก็ยังคงไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับยีนของมนุษย์ และมีบทบาทเกี่ยวกับการเผาผลาญอาหารในร่างกายอย่างไร การศึกษาครั้งนี้นับเป็นการศึกษาความเกี่ยวพันของหอมแดงกับหน้าที่ทาง ชีววิทยาหนแรก 20 โดยที่ระดับคอเลสเทอรอลดีไม่เปลี่ยนแปลง
        หัวหน้านักวิจัยกล่าวในที่สุดว่า “ผลของการศึกษาได้สนับสนุนข้ออ้างที่ว่า การกินหัวหอมประจำจะช่วยลดอันตรายของโรคหัวใจชนิดเส้นเลือดมาเลี้ยงหัวใจอุดตันได้

มะม่วงป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม


     “มะม่วง” นอกจากจะเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยแล้ว ยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใย โพแทสเซียม และวิตามินซีสูงอีกด้วย และในขณะนี้ การศึกษาในห้องปฏิบัติการ ค้นพบว่ามะม่วงอาจช่วยป้องกัน หรือทำลายเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมได้

      การศึกษาจัดทำโดยนัก วิทยาศาสตร์อาหารจากศูนย์วิจัย Texas AgriLife โดยทำการทดสอบสารสกัดโพลีฟีนอลในมะม่วง (สารธรรมชาติที่พบในพืช ซึ่งเชื่อว่าช่วยส่งเสริมสุขภาพ) กับเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งเม็ดเลือดขาว และมะเร็งต่อมลูกหมากในห้องปฏิบัติการ
      ผลการศึกษาพบว่า สารสกัดจากมะม่วงมีผลต่อมะเร็งปอด และมะเร็งต่อมลูกหมากบ้างเล็กน้อย แต่กลับมีประสิทธิภาพมากกับมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยสามารถทำให้เซลล์มะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ตายได้ รวมทั้งยังไม่ทำอันตรายกับเซลล์ที่ดี ซึ่งอยู่ติดกับเซลล์มะเร็งด้วย
      จากผลการศึกษานี้ นักวิจัยวางแผนต่อไปว่าจะทำการทดลองเล็กๆ ทางคลินิกกับอาสาสมัครที่มีการอักเสบของลำไส้เล็ก และมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง เพื่อดูว่ามีผลทางคลินิกหรือไม่?
     สำหรับ ประโยชน์ของมะม่วงนั้น นอกจากมีวิตามินซีสูงแล้ว ยัง มีวิตามินเอ (เบต้าแคโรทีน) และมีวิตามินอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย เช่น วิตามินอี บี และเค ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นสำหรับหัวใจ ช่วยให้หัวใจแข็งแรง และยังอุดมไปด้วยเส้นใย ช่วยรักษาอาการท้องผูกและกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่แข็งเกร็งได้อีกด้วย


โทษของน้ำอัดลม





1. ถ้าดื่มน้ำอัดลมมากและรับประทานอาหารอื่นน้อย จะทำให้ขาดสมดุลทางโภชนาการ ที่สำคัญคือ ในเด็กถ้าปล่อยให้ดื่มแต่น้ำอัดลมไม่ได้ดูแลให้รับประทานอาหารให้ครบตามหลักโภชนาการอาจขาดสารอาหารได้


2. ถ้าดื่มน้ำอัดลมในเวลาที่ใกล้จะถึงหรือในระหว่างรับประทานอาหารมื้อหลัก ทำให้อิ่มและทานอาหารได้น้อยลง

3. น้ำอัดลมทำให้ฟันผุ เนื่องจากน้ำอัดลมมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในปริมาณมากและมีสภาวะเป็นกรดด้วย ได้แก่ กรดคาร์บอนิก จะไปกัดกร่อนเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุได้

4. น้ำอัดลมทำให้ท้องอืด เพราะเกิดก็าซในกระเพาะอาหารและสภาวะที่เป็นกรดของน้ำอัดลมก็ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารด้วย

5. น้ำอัดลมดื่มได้พลังงานอย่างเดียว แต่เป็นพลังงานที่ว่างเปล่าหรือEmptycalories โดยไม่มีสารอาหารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีก

6. คาเฟอีนในน้ำอัดลมส่งผลต่อร่างกาย เช่น ในวัยเด็กที่ดื่มน้ำอัดลมที่ผสมคาเฟอีน จะมีรูปแบบการนอนที่ผิดแผกไปจากเดิม เด็กเหล่านี้จะนอนไม่หลับในเวลากลางคืนและง่วงนอนในตอนกลางวัน ทำให้เด็กมีผลการเรียนที่ต่ำลงกว่าเดิมด้วย คาเฟอีนที่มีในน้ำอัดลมบางชนิดจะไปกระตุ้นสมอง อาจทำให้ผู้ดื่ม (ที่ค่อนข้างไวต่อคาเฟอีน) เกิดใจสั่นและปวดศีรษะได้

7. การดื่มน้ำอัดลมบ่อย ๆ ไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อร่างกายเท่าไรนัก ถ้าดื่มทุกวันหรือทุกมื้ออาหารจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากโดยไม่จำเป็น


โทษจากบุหรี่



การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของโรคที่ทำให้สมรรถภาพการทำงานของร่างกายเสื่อมลงและเสียชีวิตก่อนวัยอันสมควร  บุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคหลอดเลือดหัวใจ  โรคหลอดเลือดสมองตีบ  และโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย  การสูบบุหรี่ยังเป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งปอด พบว่า 90% ของโรคมะเร็งปอดในผู้ชายและ 79% ของโรคมะเร็งในผู้หญิงเป็นผลมาจากการสูบบุหรี่
สารประกอบในควันบุหรี่
โทษจากบุหรี่เกิดจากสารประกอบในควันบุหรี่  ควันบุหรี่จะมีสารประกอบต่างๆ มากกว่า 4,000 ชนิด  สารประกอบเหล่านี้บางชนิดมีคุณสมบัติิให้โทษต่อร่างกาย   สารแต่ละชนิดสามารถก่อโรคได้แตกต่างกันไป  พบว่ามีสารมากกว่า 50 ชนิดในควันบุหรี่ที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งในสัตว์และในคน  การสูบบุหรี่เพียง 1 ซองต่อวัน  ผู้สูบจะต้องสูบบุหรี่มากกว่า 70,000 ครั้งต่อปี  ทำให้เนื้อเยื่อในช่องปาก จมูก ช่องคอ และหลอดลมสัมผัสกับควันบุหรี่ตลอดเวลา  เนื้อเยื่อที่สัมผัสกับควันบุหรี่โดยตรงจะมีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่า เช่น เนื้อเยื่อของหลอดลม  สำหรับอวัยวะอื่นๆ ที่ไม่สัมผัสควันบุหรี่จะมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งจากสารในควันบุหรี่ที่ถูกดูดซึมผ่านกระแสเลือด
โรคจากบุหรี่
มีการศึกษาวิจัยมากมายที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการสูบบุหรี่กับการเกิดโรคต่างๆ  ผู้สูบบุหรี่แต่ละรายจะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคจากบุหรี่แตกต่างกัน  ซึ่งขึ้นกับระยะเวลาที่สูบ  ปริมาณที่สูบ  ลักษณะพันธุกรรม  การมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆร่วมด้วย
·         โรคระบบหัวใจและหลอดเลือดจากบุหรี่  การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดหัวใจแข็งตัว (atherosclerosis)  การสูบเพียงวันละ 4 มวนเป็นประจำพบว่าสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้  สำหรับผู้สูบบุหรี่โดยที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆในการเกิดโรคนี้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง, โรคไขมันในเลือดสูง  พบว่าจะมีโอกาสเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคมากขึ้น 
·         โรคปอดจากบุหรี่  บุหรี่เป็นสาเหตุของโรคทางเดินหายใจอุดกั้นเรื้อรัง(COPD)  การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุที่สำคัญของโรคมะเร็งปอด  ผู้ที่สูบบุหรี่เพียงวันละ 1 ซองจะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปอดมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ 10 เท่า  สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่วันละ 2 ซองจะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ 25 เท่า  นอกจากนี้ยังพบอาการไอเรื้อรัง  เสมหะมากและหายใจไม่สะดวกในผู้สูบบุหรี่  เมื่อตรวจการทำงานของปอด (pulmonary function test) จะพบความผิดปกติได้มากกว่าแม้ผู้สูบนั้นจะอายุน้อยก็ตาม
·         โรคระบบทางเดินอาหารจากบุหรี่  ในผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำจะพบว่ามีโอกาสเกิดแผลที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น  การสูบบุหรี่จะทำให้แผลหายช้าและทำให้ยายับยั้งการหลั่งกรดบางชนิดทำงานได้ผลไม่ดี   การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งกล่องเสียง  มะเร็งช่องปากและหลอดอาหาร    และถ้ามีการดื่มแอลกอฮอลร่วมด้วยโอกาสเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น  หลังจากที่เลิกสูบบุหรี่แล้วโอกาสเสี่ยงต่อมะเร็งกลุ่มนี้จะลดลงอย่างรวดเร็วและเมื่อเลิกได้นาน 15 ปี  พบว่าโอกาสเสี่ยงจะเท่ากับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
·         ผลต่อการตั้งครรภ์  การสูบบุหรี่ทำให้โอกาสที่จะตั้งครรภ์ยากขึ้น  ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์และสูบบุหรี่จะทำให้ทารกมีน้ำหนักแรกคลอดน้อยกว่าทารกปกติประมาณ 170 กรัม  นอกจากนี้การสูบบุหรี่ยังเพิ่มโอกาสเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ เช่น รกเกาะต่ำ รกลอกตัวก่อนกำหนด  ทารกคลอดก่อนกำหนด เป็นต้น
·         โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย

·         โรคผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนวัย

โรคทางพันธุกรรม

ในการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่มารดาจะต้อง
มีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ โรคทางพันธุกรรมที่เป็นผลโดยตรงต่อการตั้งครรภ์
โรคทางพันธุกรรม หมายถึง โรคที่มีความผิดปกติขององค์ประกอบของจีนและโครโมโซม 
ซึ่งจีนและโครโมโซมนี้เป็นตัวกำหนดลักษณะทางพันธุกรรม เมื่อมีความผิด
ปกติเกิดขึ้นจะทำให้เกิดการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์จากพ่อแม่สู่ลูกโดยตรง
ชนิดของโรคทางพันธุกรรม โรคทางพันธุกรรม จำแนกได้ 3 ชนิด คือ
1. โรคทางพันธุกรรมที่เกิดความผิดปกติในการแบ่งตัวของโครโมโซม
ขณะกำลังเกิดการปฏิสนธิ หรือขณะที่ไข่และอสุจิผสมกันเป็นตัวอ่อนแล้ว
2. โรคทางพันธุกรรมที่มีความผิดปกติในการเรียงตัวของโครโมโซม
3. โรคทางพันธุกรรมที่มีความผิดปกติในการแยกคู่ของโครโมโซมในระหว่าง
การแบ่งตัว
โรคทางพันธุกรรมที่มีผลต่อการตั้งครรภ์ โรคทางพันธุกรรมที่พบได้บ่อย ได้แก่
1. โรคทาลัสซีเมีย เป็นโรคทางพันธุกรรมที่มีความผิดปกติของสารสีแดงใน
เม็ดเลือด ทำให้ผู้ป่วยมีอาการโลหิตจางเรื้อรัง
2. โรคฮีโมฟีเลีย เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ปัจจัยการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเลือดออกไม่หยุดหรือหยุดยาก
3. โรคดาว์นซินโดรม เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เด็กจะมีอาการปัญญาอ่อน และหน้าตาดูแปลกไปจากปกติ 
มักพบในเด็กที่แม่ตั้งครรภ์เมื่ออายุเกิน 35 ปี
นอกจากโรคที่พบได้บ่อยทั้ง 3 โรค ดังกล่าวแล้ว โรคทางพันธุกรรมยังมีอีกหลายชนิด 
ซึ่งแต่ละโรคล้วนทำให้เกิดความผิดปกติต่อมารดาโดยตรง บางโรคอาจทำให้คลอดยาก
มีภาวะแท้ง ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ โรคหัวใจ เป็นต้น 
โรคบางโรคยังมีผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์มีผลต่อการเจริญ
ของเซลล์สมอง อาจทำให้ทารกตายในครรภ์หรือพิการแต่กำเนิดได้ วิธีการป้องกันโรค เหล่านี้ ไม่ให้เกิดขึ้นกับทารกในครรภ์ คือการปรึกษาแพทย์หรือรับการตรวจร่างกายทั้งสามีและภรรยา

ก่อนการตั้งครรภ์เสมอ

อาหารกับความดันโลหิตสูง


แนะเลี่ยงเค็มจัด ทานให้ครบ 5 หมู่


 โรคความดันโลหิตสูงอาจเกิดได้จาก 2 สาเหตุใหญ่ สาเหตุแรก คือ  เกิดจากโรคของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต โรคของต่อมฮอร์โมน โรคหลอดเลือด ฯลฯ เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่สองนั้นเป็นกลุ่มที่ยังหาสาเหตุไม่ได้ หรือเรียกตามศัพท์ทางการแพทย์ว่าเป็นกลุ่ม Idiopathic

          ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงที่เกิดจากความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายดังยกตัวอย่างไว้ในข้างต้นแล้วนั้น จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ประจำตัวหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคนั้นๆ ว่า ควรจะมีข้อปฏิบัติหรือข้อห้ามในการรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับโรคอย่างไร ซึ่งจำเป็นต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ส่วนในกลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic) นั้น การปฏิบัติตัวเรื่องอาหารควรเน้นถึงความสำคัญในการควบคุมและเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมเช่นเดียวกัน เพราะการรับประทานอาหารผิดอย่างต่อเนื่องมีผลในทางลบได้เสมอ

          ดังนั้นการเรียนรู้เรื่องของอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควรรับประทานและควรหลีกเลี่ยงจึงจำเป็นอย่างยิ่งทีเดียว ซึ่งผลของการรับประทานอาหารจะมีผลทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น นั่นหมายถึงว่าการดูแลตนเองของผู้ป่วยไม่ดี ซึ่งหากปล่อยให้มีภาวะความดันโลหิตสูงนาน ๆ จะมีผลทำให้เสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ หัวใจวาย และไตวาย จนถึงแก่ชีวิตในที่สุด

          อาหารที่ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงควรหลีกเลี่ยงก็คือ อาหารเค็มจัด ไม่ว่าจะเค็มจากกะปิ น้ำปลา ซอส ไข่เค็ม ปลาเค็ม หรือผักกาดดองต่างๆ ก็ตาม นอกจากนี้ควรงดอาหารที่เติมซอสหรือน้ำปลาในอาหารที่รับประทานด้วย ควรฝึกตนเองให้เป็นสุขนิสัยโดยค่อยๆ ลดปริมาณเกลือลงเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่รู้สึกอยากอาหารเค็มมากเท่ากับเมื่อก่อน

          อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงนอกจากอาหารเค็มที่เห็นชัดแล้วควรหลีกเลี่ยงอาหารต่อไปนี้ด้วย เพราะอาหารเหล่านี้มีโซเดียมสูง ซึ่งได้แก่ น้ำอัดลม ขนมปังกรอบ ขนมปัง ขนมอบที่ต้องใช้ผงฟู เนยที่มีรสเค็ม น้ำสลัดและมายองเนสสำเร็จรูป อาหารที่ใส่น้ำตาลเทียม อาหารที่ใส่ผงชูรส เป็นต้น รวมทั้งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์และไวน์ ซึ่งมีผลร้ายโดยตรงทั้งหัวใจและหลอดเลือดยกเว้นแต่การดื่มแต่เพียงเล็กน้อย ซึ่งมีส่วนกระตุ้นให้อยากอาหารมากขึ้น และทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตแรงขึ้นด้วย

          อาหารที่ควรรับประทานได้แก่ อาหารหลัก 5 หมู่ ซึ่งได้แก่ นม ไข่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้งและงา ข้าว แป้ง เผือกมัน น้ำตาล พืชผักผลไม้ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งการรับประทานอาหารต่างๆ นั้นควรบริโภคให้หลากหลายไม่ซ้ำซาก การกินอาหารบางชนิดทุกวัน อาจทำให้ได้รับสารอาหารบางประเภทไม่เพียงพอหรือมากเกินไป จนเกิดโทษแก่ร่างกายและมีผลต่อโรคภัยไข้เจ็บ



การป้องกันโรคมือ เท้า ปาก

การป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ( Hand,  Foot  and  Mouth  Disease )
โรคมือ  เท้า  ปาก  เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัส
กลุ่มที่อยู่ในลำไส้คน  มักพบเป็นในเด็กอายุต่ำกว่า  5  ปี
ซึ่งทารกและเด็กเล็กมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้ได้ง่าย และจะมีอาการรุนแรงมากกว่าเด็กโต
ส่วนผู้ใหญ่ก็พบเป็นโรคนี้ได้
      โรคนี้มักพบในสถานที่รับเลี้ยงเด็ก  และโรงเรียนอนุบาล
ในประเทศไทยพบโรคนี้ได้บ่อย  แต่มักไม่มีความรุนแรง และหายได้เองภายใน  7 - 10  วัน
บางรายอาจมีอันตรายจากภาวะแทรกซ้อน

1.      ควรดูแลรักษาความสะอาดทั่วไป  และสุขอนามัยส่วนบุคคล
โดยล้างมือ ฟอกสบู่ให้สะอาดก่อนเตรียมอาหาร
และหลังขับถ่ายทุกครั้ง
2.      รับประทานอาหารที่สะอาด  ปรุงใหม่ๆ  ไม่มีแมลงวันตอม
3.      ควรใช้ช้อนกลางในการรับประทานอาหาร  ไม่ใช้แก้วน้ำ
หลอดดูด  ช้อน  ขวดนม  ร่วมกับผู้อื่น
4.      หลีกเลี่ยงการคลุกคลี  อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย  แยกเด็กป่วย
ออกจากเด็กปกติ  และให้หยุดเรียนจนกว่าจะหายป่วย
5.      หลีกเลี่ยงการนำทารกและเด็กเล็กเข้าไปในสถานที่แออัด หรือที่ๆ
เด็กอยู่ร่วมกันจำนวนมาก หรือเล่นของเล่นร่วมกันในที่สาธารณะ
ในช่วงที่มีโรคระบาดมาก
6.      ผู้ดูแลเด็กต้องตัดเล็บให้สั้น  หมั่นล้างมือบ่อยๆ
และรีบล้างมือให้สะอาดโดยเร็ว  เมื่อเช็ดน้ำมูก
น้ำลาย  หรือเปลี่ยนผ้าอ้อม  เสื้อผ้าที่เปื้อนอุจจาระ
7.      ทำความสะอาดพื้น  เครื่องใช้  หรือของเล่นเด็ก
ที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรค  อย่างสม่ำเสมอ
ด้วยน้ำยาฟอกขาว  (คลอร็อกซ์)  อัตราส่วน  คือ
น้ำยา 20 ซีซี. ต่อ น้ำ 1,000 ซีซี. และล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง
8.      ถ้าพบผู้ป่วยเป็นโรคมือ  เท้า  ปาก  ควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่
สาธารณสุขในพื้นที่โดยเร็ว
เพื่อดำเนินการควบคุมโรคต่อไป

ข้อมูลประกอบ
·         มีไข้  2 - 4 วัน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บภายในปากและคอ
ปวดเมื่อยตามตัว  คล้ายไข้หวัด
·         มีจุดหรือผื่นแดงอักเสบที่ลิ้น  เหงือก  กระพุ้งแก้ม
ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือที่ก้น
ต่อมาผื่นนี้จะกลายเป็นตุ่มพองใสรอบๆแดง
และแตกออกเป็นแผลหลุมตื้นๆ
ถ้าเด็กมีอาการเหล่านี้หรือซึม  ไม่รับประทานอาหารและน้ำ
น้ำลายไหล  อาเจียนบ่อย
ควรเรียบพาไปพบแพทย์ทันที
·         ผู้ป่วยที่เป็นเด็กเล็กๆ  หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
อาจมีภาวะแทรกซ้อนได้  เช่น  สมองอักเสบ
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ  อัมพาตกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ  ซึ่งอาจเสียชีวิตได้
·        เชื้อโรคอยู่ในน้ำลาย  น้ำมูก  อุจจาระ  น้ำในตุ่มพอง
หรือแผลของผู้ป่วย  เชื้อโรคเข้าทางปากโดยตรง
ซึ่งอาจติดมากับมือ  ของเล่น  ไอ  จาม
หรือใช้ภาชนะในการรับประทาน  หรือดื่มร่วมกัน
โรคนี้จะติดต่อกันได้ง่าย  ในช่วงสัปดาห์แรกของการป่วย
และจะพบเชื้อในอุจจาระผู้ป่วยได้นาน
ประมาณ  6  สัปดาห์  หลังจากเริ่มป่วย

ความรู้ทั่วไป โรคไข้เลือดออก


โรคไข้เลือดออก
 โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดจากยุงเป็นพาหนะของโรค นอกจากเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทย ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในเขตร้อนชื้น และก่อให้เกิดความกังวลต่อผู้ปกครองเวลาเด็กมีไข้ บทความนี้จะบรรยายถึงโรคไข้เลือดออกในแง่การดูแลผู้ป่วยซึ่งมีหัวข้อต่อไปนี้

 สาเหตุไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากยุงลาย Aedes aegyti ตัวเมียบินไปกัดคนที่ป่วยเป็นไข้เลือดออก โดยเฉพาะช่วงที่มีไข้สูง เชื้อไ/วรัสแดงกีจะเพิ่มจำนวนในตัวยุงประมาณ 8-10 วัน เชื้อไวรัสแดงกี่จะไปที่ผนังกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุง เมื่อยุงกัดคนก็จะแพร่เชื้อสู่คน เชื้อจะอยู่ในร่างกายคนประมาณ 2-7 วันในช่วงที่มีไข้ หากยุงกัดคนในช่วงนี้ก็จะรับเชื้อไวรัสมาแพร่ให้กับคนอื่น ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็ก โรคนี้ระบาดในฤดูฝน ยุงลายชอบออกหากินในเวลากลางวันตามบ้านเรือน และโรงเรียน ชอบวางไข่ตามภาชนะที่มีน้ำขัง เช่นยางรถยนต์ กะลา กระป๋อง จานรองขาตู้กับข้าว แต่ไม่ชอบวางไข่ในท่อน้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง


เมื่อไรจึงจะสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก
อาการของไข้เลือดออกไม่จำเพาะ อาการมีได้หลายอย่าง ในเด็กอาจจะมีเพียงอาการไข้และผื่น ใผู้ใหญ่อาจจะมีไข้สูง ปวดศรีษะ ปวดตามตัว ปวดกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ หากไม่คิดโรคนี้อาจจะทำให้การรักษาช้า ผู้ป่วยอาจจะสียชีวิต ลักษณะที่สำคัญของไข้เลือกออกคือ
·         ไข้สูงเฉียบพลันประมาณ2-7 วัน
·         เบื่ออาหาร หน้าแดง ปวดศีรษะ ร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน และมีอาการปวดท้องร่วมด้วย
·         บางรายอาจจะมีจุดเลือดสีแดงออกตามลำตัว แขนขา อาจจะใรเลือดกำเดาไหล เลือดออกตามรายฟัน และถ่านอุจาระดำเนื่องจากเลือดออกในทางเดินอาหาร และอาจจะช็อค
·         ในรายที่ช็อคจะสังเกตเมื่อไข้ลงผู้ป่วยกลับแย่ลง ซึม มือเท้าเย็น เหงื่อออก หมดสติ และอาจจะเสียชีวิต

การรักษา
ไม่มีการรักษาเฉพาะสำหรับโรคไข้เลือดออก การรักเพียงประคับประคองอย่างใกล้ชิดโดยการเฝ้าระวังภาวะช็อค และเลือดออก และการให้สารน้ำอย่างเหมาะสมก็จะทำให้อัตราการเสียชีวิตลดลงต่ำกว่าร้อยละ 1


วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก
การผลิตวัคซีนกำลังอยู่ในขั้นพัฒนา แต่มีปัญาเนื่องเชื้อมี 4 สายพันธุ์ คาดการณ์ว่าจะสำเร็จและใช้ได้ในอนาคตอันใกล้ การป้องกันและการควบคุม
วิธีที่จะป้องกันและควบคุมไข้เลือดออกที่ดีที่สุดคือการควบคุมการแพร่กระจายของยุงลาย
·         กำจัดแหล่งเพราะพันธุ์ยุง เช่น กะละ ยาง กระป๋อง
·         หาฝาปิดภาชนะ เช่น โอ่ง ถังน้ำ
·         ในแหล่งน้ำสาธารณะอาจจะเลี้ยงปลาเพื่อกินลูกน้ำ หรือใส่สารเคมีเพื่อฆ่าลูกน้ำ
ขนิดของเชื้อแดงกีเชื้อไวรัสแดงกี เป็น single strnded RNA ไวรัสมีด้วยกัน 4 ชนิด(serotype) DEN1 DEN2 DEN3 DEN4 ซึ่งมี antigen ร่วมกันบางส่วนทำให้เทื่อเกิดการติดเชื้อชนิดหนึ่ง จะเกิดภูมิคุ้มกันต่อเชื้ออีกชนิดหนึ่ง แต่ภูมิที่เกิดจะอยู่ได้ 6-12 เดือน ส่วนภูมิที่เกิดกับเชื้อที่ป่วยจะมีตลอดชีวิต เช่นหากเป็นไข้เลือดออกจากเชื้อ DEN1 ผู้ป่วยจะมีภูมิต่อเชื้อนี้ตลอดชีวิต แต่จะมีภูมิต่อเชื้อแดงกีชนิดอื่นเพียง 6-12 เดือนเท่านั้นจาการศึกษาพบว่าการติดเชื้อซ้ำ หรือการติดเชื้อครั้งที่สองจะเป็นสาเหตุของโรคแดงกีได้ถึงร้อยละ 80-90 ในสมัยก่อนปี 2543พบว่าการระบาดของเชื้อแดงกีเกิดจากสายพันธ์ที่สอง DEN2 แต่หลังจากนั้นพบลดลง แต่จะพบสายพันธ์ DEN3 มากขึ้น แต่หลังจากปี 2543 เชื้อสายพันธ์ที่สอง DEN2 เริ่มกลับมาพบมากขึ้นและมีอัตราการตายสูงเนื่องจากเป็นเชื้อที่หากเป็นแล้วจะเกิดอาการรุนแรงการ

 อาการของโรคติดเชื้อไข้เลือดออก
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไข้เลือดออกอาจจะไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย หรืออาจจะเกิดอาการรุนแรงจนเสียชีวิต เมื่อหายร่างกายจะมีภูมิต่อเชื้อนั้นตลอดชีวิต ความรุนแรงของการติดเชื้อขึ้นกับอายุ ภาวะภูมิคุ้มกัน และความรุนแรงของเชื้อการติดเชื้อไวรัสแดงกิ่วมีอาการได้ 3 แบบคือ